วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การบูรณาการการสอนและการออกแบบการสอน(ต่อ)

ทฤษฎีการออกแบบการสอน




              ทฤษฎี(Theories)เป็นข้อความที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ  ที่ได้จากการสังเกตแล้วลงสรุปและทำนายพฤติกรรมที่สังเกตได้  ทฤษฎีสามารถปรับเปลี่ยนได้  ในบางครั้งทฤษฎีจะเป็นยอมรับกันเป็นเวลานานก็อาจถูกพิสูจน์หักล้างในเวลาต่อมาได้  ดังนั้นทฤษฎีการออกแบบการสอนจึงเป็นทุกสิ่งที่เสนอแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้              

           ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อธิบายลักษณะของการเกิดการเรียนรู้  หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้  ส่วนหลักการสอนก็คือ  แนวคิดที่เป็นหลักของการปฏิบัติทางการสอนที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆทฤษฎีการเรียนรู้สามารถแบ่งออกเป็น 3  กลุ่ม
              1.ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism)นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง  คือ  ไม่ดีไม่เลว  การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก  พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus  response)  การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง  กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับ  “ พฤติกรรม “  มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด  สามารถวัดและทดสอบได้  ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มนี้  ประกอบด้วยแนวคิดสำคัญ ๆ 3 แนวด้วยกัน  คือ

     1.1  ทฤษฎีการเชื่อมโยง(Classical  Connectionism)  ของธอร์นไดค์ (Thorndike) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองมีหลายรูปแบบ  บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด  เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลใช้รูปแบบตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนแบบลองผิดลองถูกบ้าง  มีการสำรวจความพร้อมของผู้เรียนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำก่อนการสอนบทเรียน  เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วครูควรฝึกให้ผู้เรียนฝึกการนำการเรียนรู้นั้นไปใช้บ่อย ๆ การศึกษาว่าสิ่งใดเป็นสิ่งเร้าหรือรางวัลที่ผู้เรียนพึงพอใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
      1.2  ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning  Theory) ประกอบด้วยทฤษฎีย่อย 4 ทฤษฎีดังนี้
1.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ(Pavlov sclassical  Conditioning)  เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขสรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า  การเรียนรูของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
2.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน(Watson sclassical  Conditioning)  เน้นการตอบสนองตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกัน  สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่าการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
3.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องของกัทธรี(Guthrie sclassical  Conditikioning)  เน้นหลักการจูงใจ  สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า  การเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียว  ก็นับว่าได้เรียนรู้แล้วไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีกo
4.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์ของสกินเนอร์(skinnes s        operant conditioning) เน้นการเสริมแรงหรือการให้รางวัล สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า การกระทำได                ๆถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัวการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเสนอสิ่งเร้าในการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม  อย่างต่อเนี่อง มีการเสริมแรงหรือให้รางวัลเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจที่จะเรียนรู้

1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull s systematic Behavior Theory) มีความเชื่อว่าท่าร้างกายเมื่อยล้า การเรียนรู้จะลดลง การตอบสนองต่อการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อได้รับแรงเสริมในเวลาใกล้บรรลุเป้าหมาย หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงมักคำนึงถึงความพร้อมความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด การจัดการเรียนการสอนควรให้ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองระดับความสามารถของผู้เรียน

อ้างอิง : หนังสือการบูรณาการสอนและการออกแบบการสอน ของ ดร.กิตติคม คาวีรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น