ทฤษฎี(Theories)เป็นข้อความที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการสังเกตแล้วลงสรุปและทำนายพฤติกรรมที่สังเกตได้ ทฤษฎีสามารถปรับเปลี่ยนได้
ในบางครั้งทฤษฎีจะเป็นยอมรับกันเป็นเวลานานก็อาจถูกพิสูจน์หักล้างในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นทฤษฎีการออกแบบการสอนจึงเป็นทุกสิ่งที่เสนอแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อธิบายลักษณะของการเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ส่วนหลักการสอนก็คือ แนวคิดที่เป็นหลักของการปฏิบัติทางการสอนที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆทฤษฎีการเรียนรู้สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อธิบายลักษณะของการเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ส่วนหลักการสอนก็คือ แนวคิดที่เป็นหลักของการปฏิบัติทางการสอนที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆทฤษฎีการเรียนรู้สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1.ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism)นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ
ไม่ดี –ไม่เลว
การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus response)
การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับ “ พฤติกรรม “
มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด
สามารถวัดและทดสอบได้
ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มนี้
ประกอบด้วยแนวคิดสำคัญ ๆ 3 แนวด้วยกัน คือ
1.1 ทฤษฎีการเชื่อมโยง(Classical Connectionism) ของธอร์นไดค์ (Thorndike)
เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองมีหลายรูปแบบ
บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด
เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลใช้รูปแบบตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย
ๆ
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนแบบลองผิดลองถูกบ้าง มีการสำรวจความพร้อมของผู้เรียนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำก่อนการสอนบทเรียน เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วครูควรฝึกให้ผู้เรียนฝึกการนำการเรียนรู้นั้นไปใช้บ่อย
ๆ
การศึกษาว่าสิ่งใดเป็นสิ่งเร้าหรือรางวัลที่ผู้เรียนพึงพอใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
1.2 ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning Theory) ประกอบด้วยทฤษฎีย่อย
4 ทฤษฎีดังนี้
1.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ(Pavlov
sclassical Conditioning)
เน้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขสรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า
การเรียนรูของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
2.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน(Watson sclassical Conditioning) เน้นการตอบสนองตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเช่นกัน
สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่าการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
3.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องของกัทธรี(Guthrie
sclassical Conditikioning) เน้นหลักการจูงใจ สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า
การเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียว ก็นับว่าได้เรียนรู้แล้วไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีกo
4.ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์ของสกินเนอร์(skinnes
s operant conditioning) เน้นการเสริมแรงหรือการให้รางวัล
สรุปแนวคิดตามทฤษฎีนี้ได้ว่า การกระทำได ๆถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัวการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเสนอสิ่งเร้าในการเรียนการสอน
การจัดกิจกรรม อย่างต่อเนี่อง
มีการเสริมแรงหรือให้รางวัลเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจที่จะเรียนรู้
1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull s systematic Behavior Theory) มีความเชื่อว่าท่าร้างกายเมื่อยล้า การเรียนรู้จะลดลง การตอบสนองต่อการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อได้รับแรงเสริมในเวลาใกล้บรรลุเป้าหมาย หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงมักคำนึงถึงความพร้อมความสามารถและเวลาที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุด การจัดการเรียนการสอนควรให้ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองระดับความสามารถของผู้เรียน
อ้างอิง : หนังสือการบูรณาการสอนและการออกแบบการสอน ของ ดร.กิตติคม คาวีรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น